วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แนวทางการช่วยเหลือHikikomori

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม ปี ค.ศ. 2008 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขวางแผนที่จะจัดตั้งหน่วยปรึกษาปัญหาฮิคิโคโมริในทุกจังหวัด และในเมืองใหญ่ โดยพวกเขากล่าวว่า รัฐจะจัดสรรงบประมาณ 500ล้านเยนในงบประมาณแห่งชาติสำหรับการจัดการตั้งศูนย์ปรึกษา

จำนวนผู้ที่มีปัญหาตอนนี้มีประมาณหนึ่งล้านกว่าคนตามที่มีการสำรวจจากศูนย์สนับสนุนช่วยเหลือ ในปัจจุบันครอบครัวของผู้มีปัญหาและตัวฮิคิโคโมริเองสามารถขอรับคำปรึกษาจากศูนย์สุขภาพสาธารณะสุขแต่ที่นั่นไม่ได้จัดตั้งเพื่อการปรึกษาปัญหาเฉพาะทาง

โดยที่ศูนย์จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาประจำการอยู่ที่นั่นโดยตลอด โดยเทศบาลจะมอบหมายความรับผิดชอบในการบริการแก่เจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ หรือหน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไร โดยค่าใช้จ่ายจะได้รับจากรัฐบาลกลาง

โมโตฮิโร ซาไก ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์จิตวิทยาของมหาวิทยาลัยโทคุชิม่า ตอบรับการแก้ไขปัญหาขั้นต้นของรัฐบาล ซาไกกล่าวว่า ฮิคิโคโมริบางรายมีปัญหาจากการป่วยทางจิต และเมื่อค้นพบควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ส่วนปัจจัยอื่นเชื่อได้ว่าเหล่าฮิคิโคโมริที่มีอายุอยู่ที่ประมาณ 30-40 ปีขึ้นไปนั้น ส่วนหนึ่งพวกเขายากที่จะหางานใหม่ทำได้อีกแล้ว มันสำคัญมากสำหรับรัฐบาลที่ควรให้การสนับสนุนเพื่อพวกเขาจะได้เรียกความมั่นใจในตัวเองกลับมาได้

นอกจากนี้ยังมีการให้การสนับสนุนจากองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรอย่างเช่น NPO คอยให้ความช่วยเหลือเป็นกลุ่มแรกๆ อีกทั้งกลุ่มองค์กรต่างๆที่ก่อตั้งขึ้น โดยครอบครัวผู้ที่พบกับปัญหาฮิคิโคโมริ และยังมีองค์เอกชนที่คอยให้คำปรึกษาโดยจะคิดค่าธรรมเนียมอยู่ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างขององค์กรอย่างเช่น The Japanese Hikikomori Association (N.H.K.), New Star, กลุ่มช่วยเหลือตนเองของครอบครัวผู้ที่มีลูกเป็นฮิคิโคโมริ, Hikikomori Support Navi เป็นต้น

โดยกลุ่มองค์กรเหล่านี้มีวิธีการช่วยเหลือที่คล้ายๆกันดังนี้

เนื่องจากฮิคิโคโมริคือผู้เก็บตัวเป็นเวลานานจึงมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความสามารถทางการเข้าสังคม ดังนั้นวิธีการแรกที่จะใช้คือ การเริ่มเข้าไปพูดคุย เพื่อทำความคุ้นเคยกับผู้ที่เป็นที่ปรึกษาที่ทางพ่อแม่ หรือบางกรณีอาจจะเป็นตัวฮิคิโคโมริเองที่เป็นฝ่ายติดต่อไป โดยทางศูนย์จะส่งผู้ที่เป็นที่ปรึกษาไปพบถึงบ้าน และเริ่มพูดคุยกับฮิคิโคโมริ แม้ว่าช่วงแรกๆอาจจะไม่ได้รับการตอบโต้บทสนทนาจากฮิคิโคโมริก็ตาม แต่เมื่อฮิคิโคโมริมีความคุ้นเคยกับผู้ที่เป็นที่ปรึกษาและตกลงที่จะมาเข้าร่วมโครงการ ฮิคิโคโมริก็จะได้รับการพาตัวไปอยู่รวมกับผู้ที่เป็นฮิคิโคโมริเช่นกันที่ศูนย์

ทักษะแรกๆ ที่ทางศูนย์ได้สอนแก่เด็กอย่างเช่น หัดปรงฟัน กินข้าว ล้างจาน จนกระทั่ง ออกกำลังกาย และไปซื้อของ เป็นต้นและที่ศูนย์จะเริ่มฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กโดยการสอนวิธีการเข้าสังคมให้แก่เด็ก เมื่อเด็กได้พูดคุยและทำความคุ้นเคยกันเด็กจะรู้สึกดีขึ้นมีการเปิดใจต่อกันมากขึ้น เพราะผู้ที่มาอยู่รวมกันนี้เป็นผู้ที่ต่างได้รับประสบการณ์เดียวกันมาทั้งนั้น การพูดคุยจึงและการสร้างสัมพันธภาพและมิตรภาพจึงเกิดขึ้น ทำให้เด็กมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น อีกทั้งยังมีความเชื่อใจในคนอื่นมากขึ้น

ทางศูนย์จะสอนให้เด็กรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ให้รู้ว่าการใช้ชีวิตนั้นมีค่ามากแค่ไหน โดยสอนให้รู้จักตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิต เพื่อเวลาที่สามารถทำเป้าหมายเล็กๆนี้สำเร็จแล้ว จะได้มีกำลังใจในการทำเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นต่อไปในอนาคต

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

พฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันของฮิคิโคโมริ

พฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันของฮิคิโคโมริ

อาการที่พบเห็นได้โดยทั่วไป คือ จะเริ่มจากการที่ไม่ยอมไปโรงเรียน หรือทำงาน ไม่ออกจากบ้าน ไม่ทำอะไร เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกมาพบใคร ใช้เวลาอยู่กับตัวเองนานมาก ไม่ยอมให้ใครเข้าถึง จะนอนตอนกลางวันและตื่นขึ้นมาในตอนกลางคือ และกิจวัตรที่ทำทุกคืนอาจจะเหมือนกับและต่างกับไปตามละคน แต่ส่วนมากแล้วคือ การเช็คอีเมลล์ ดูหนัง ดูทีวี เล่นเกม อ่านหนังสือการ์ตูน มีบางข้อมูลกล่าวว่าพวกเขาจะเล่นแชทด้วย แต่การเล่นแชทนี้จะเป็นเสมือนการสร้างโลกให้ตัวเอง แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับใคร เพียงแค่ต้องการเข้าไปมีตัวตนในโลกเสมือนเท่านั้น

ประเภทหนัง การ์ตูน หรือ เกมที่เล่นก็จะเป็นประเภทที่มีความรุนแรง ประเภทเกมฆ่าฟันกัน เพราะพวกเข้าต้องการที่จะปลดปล่อยความรู้สึกไปกับเกม หรือหนังที่ดู นอกจากนี้ยังการลอกเลียนแบบพฤติกรรมในเกมหรือในหนังอีกด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่มีการก่อคดีอาชญากรรมขึ้น ซึ่งจะขอกล่าวไว้ในบทต่อไป

ไม่เพียงแต่การเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเท่านั้น บางครั้งพวกเขาก็จะมีบ้างที่ออกมาข้างนอกห้องนอน (บางกลุ่ม) อย่างเช่น ออกมาห้องครัว แต่นั่นก็เพื่อมาหาของกิน หรือ ออกไปร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน

ส่วนพฤติกรรมที่มีอาการความน่าเป็นห่วงที่หนักสุดคือ อาการเหม่อลอย จ้องแต่ที่เพียง ผนัง หรือ กำแพงห้องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ทำอะไร และ บางครั้งก็ไม่ยอมทานข้าว

ซึ่งพฤติกรรมพวกนี้จะพบได้ในกลุ่มครอบครัวของคนชั้นกลาง หรือ กลุ่มคนชั้นกลางระดับสูง คือ ครอบครัวเหล่านี้พอมีกำลังทรัพย์ที่จะเลี้ยงดูลูกตัวเองได้ แต่ไม่พอที่จะพาให้ลูกตัวเองหลีกหนีจากความกดดันไปต่างประเทศได้เป็นต้น

ระดับพฤติกรรมและอาการที่แสดงออกของฮิคิโคโมริ

คนส่วนมากที่เป็นฮิคิโคโมริ จะมีความรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่าไม่มีใครเข้าใจในตัวเขา
รู้สึกหงุดหงิดที่รอบตัวเมื่อมองดูทุกอย่างจะช้าไปหมด รู้สึกกังวลต่อตัวเองว่าเราคือใคร
เราเป็นอะไร ตัวเราจะเป็นอะไร และความรู้สึกพวกนี้เองที่ค่อย ๆ อัดเต็ม ในหัวของฮิคิโคโมริ
ปฏิกิริยาตอบสนองของคนที่มีความเครียดสูงเช่นนี้ แสดงออกมาในหลายรูปแบบ
เป็นขั้นตอนดังนี้



(จาก http://www.nhk.or.jp/fnet/hikikomori/hikitoha/index.html )

ตามรูปภาพ ช่องที่ 1 คือ การแสดงออกทางคำพูดของฮิคิโคโมริ มักจะบ่น หรือพูดคำว่า
つらい (แปลว่า ทุกข์ทรมาน ขมขื่น หนักหนาสาหัส) และจะตำหนิผู้อื่นในทางที่ไม่ดี
ช่องที่ 2 คือ การแสดงออกทางพฤติกรรม โดยจะทำลายข้าวของ และ มีการใช้กำลังรุนแรง
ช่องที่3 คือ อาการที่เกิดขึ้นต่อร่างกาย คือ จะมีอาการปวดหัว ปวดท้องอย่างรุนแรง
และอยากอ้วก เป็นต้น และจะมีอาการนอนไม่หลับ
ช่องที่ 4 คือ การเก็บตัว ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง และ ความต้องการที่จะทำสิ่งต่างๆลดลง



วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

ฮิคิโคโมริ Hikikomori#2

วันนี้มาดูความหมายของคำว่า Hikikomori กัน

ความหมายมาจากหลายๆ แหล่งนะคะ ว่ากันไป

เริ่มที่ ความหมายตามพจนานุกรม 引き籠り(ひきこもり) 
การอยู่แต่บ้านไม่ออกไปข้างนอก ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ

หากจะดูความหมายตามรากศัพท์แล้ว引き(ひき)หมายถึงการดึง การเอาอกเอาใจ
ส่วน籠り(こもり)หมายถึง ปิดตัวเองอยู่ในนั้น

เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันจึงมีความหมายเพื่อแสดงถึงสภาพของบุคคลที่เก็บตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร

- ความหมายโดยนักจิตวิทยาชาวญี่ปุ่น
ฮิคิโคโมริ หมายถึงเด็กที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านแยกตัวออกมาจากสังคม
อยู่ในแต่ห้องส่วนตัวเป็นเวลานานแรมเดือนหรือหลายปี

- ความหมายโดยนักสังคมวิทยาชาวญี่ปุ่น
ฮิคิโคโมริ หมายถึง กลุ่มคนที่มีอาการหวาดกลัวสังคม
และแยกตัวออกจากสังคมโดยสิ้นเชิง เป็นพฤติกรรมที่หนักสุดในกลุ่ม จาก Neet และ Freeter
นักสังคมบางท่าน กล่าวว่า ฮิคิโคโมริเป็นเสมือนปรสิตของสังคม (Parasite Single)
เนื่องจากต้องได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ไปตลอด ไม่มีงานทำ
นอกจากนี้ยังเป็นพวกที่สูญเสียความสามารถทางสังคมจนหมดสิ้นอีกด้วย

- ความหมายโดยกระทรวงสาธารณสุขและแรงงาน
ฮิคิโคโมริ คือ สภาพการขังตัวเองอยู่ในบ้านมากกว่า 6 เดือน ไม่ไปโรงเรียนหรือบริษัท
ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือแม้แต่ครอบครัวของตัวเอง
ฮิคิโคโมริเป็นคำที่แสดงสภาพ ไม่ใช่คำที่บอกถึงอาการผิดปกติของบุคคล
หรืออาการป่วยของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และมีไม่น้อยที่ไม่สามารถทราบถึงสาเหตุ
และเหตุผลของฮิคิโคโมริที่แน่ชัดได้ ภายในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
การขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านทำให้บุคคลรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความเครียด
และมีความคิดว่าตัวเองมีสภาพที่ได้รับความมั่นคง แม้จะเป็นความมั่นคงเพียงชั่วคราวก็ตาม
แต่กระนั้นไม่ถือว่าบุคคลได้รับความมั่งคงการจิตใจ

โดยสรุปแล้ว ฮิคิโคโมริ หมายถึง สภาพของผู้ที่ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านมากกว่า 6 เดือน โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในสังคม หรือแม้แต่ครอบครัวของตัวเอง โดยอาจมีปัจจัยหลากหลายที่ทำให้เกิดสภาพนี้

******* จบจากความหมายของฮิคิโคโมริ มาดูความหมายของ 2 คำที่กล่าวไปแล้วข้างบนนะคะ******

Neet(Not in Education, Employment or Training)

เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวอายุตั้งแต่ 16 - 35 ปีที่ไม่มีงานทำ
ไม่ได้เรียนหนังสือ (หรือเรียนจบแล้วแต่ไม่ได้เรียนต่อในระดับที่สูงกว่า)
เที่ยวเล่นไปวันๆและใช้จ่ายเงินค่อนข้างจะสุรุ่ยสุร่ายบางครั้งของที่ซื้ออาจเ
ป็นของแบรนด์เนมดังๆ

Freeter เป็นกลุ่มคนประเภทเดียวกับนีท แต่คนกลุ่มนี้จะทำงาน part-time ทำงานง่ายๆ

ที่ไม่ใช้ทักษะมากมาย เช่นเด็กเก็บจาน ทำงานในซุเปอร์มาเก็ต แม่บ้าน รายได้ที่ได้อาจไม่แน่นอน
ขอเพียงอยู่ได้ไปวันๆ


อยุ่กันแบบนี้ก็สบายดีเนาะ...ครั้งหน้ามาดูระดับพฤติกรรมกันคะ

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

ฮิคิโคโมริ Hikikomori

อยู่ๆก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

"ฮิคิโคโมริ" Hikikomori

สืบเนื่องมาจากตอนเรียนนั่นแหละเจ้าค่ะ

ตอนจะจบปี4 เค้าทำทำวิจัย (รายงาน) ...จะเรียกอะไรก็ได้คะ... อาจารย์ให้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องใดก็ได้ที่ตัวเองสนใจ

บอกตามตรงคือ ตอนนั้นไม่สนใจอะไรเลย..(น่าสงสารเนาะ)

ไอ่เราก็ตามหาแรงบันดาลใจกันทุกวัน แต่ก็ไม่มีไรผุดขึ้นมาในหัวเลย

ก็เลยทำเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ ที่มีคนเคยทำไว้....แต่เนื้อหาไม่ซ้ำนะจ๊ะ

เค้าจะบอกว่าเค้าทำงานวิจัย เปรียบเทียบฮิคิโคโมริในประเทศญี่ปุ่น เปรียบกับประเทศเกาหลี ฮ่องกงและไต้หวัน

ต้องบอกก่อนเลยว่าข้อมูลน้อยมากกกกกกกก สำหรับประเทศพวกนี้ที่เอามาเปรียบกับญี่ปุ่น

เอาละ

เริ่มดีกว่าคะ

"ฮิคิโคโมริคืออะไร"

"คืออะไร" กับ "ความหมาย" ข้อแยกเป็น สองส่วนนะคะ

**เนื่องจากข้อความโดยส่วนมากแปลมาจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น ภาษาอาจจะแปลกๆนะคะ แปลไม่เก่งเท่าไหร่เพราะต้องการคงเนื้อหาหลักๆเอาไว้**

ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่เด็กนักเรียนโดดเรียน หรือ ไม่ยอมไปเรียน
จำนวนผู้ที่ปฏิเสธการไปโรงเรียนมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ
พวกเค้าจะโดดเรียนเป็นเดือนเป็นปี

ในช่วงกลางปี1970-1980 มีกลุ่มเด็กชายที่มีลักษณะอาการ ซึมเศร้า
ไม่สามารถติดต่อกับใครได้และใช้เวลาส่วนมากในห้องนอน
ปรากฏขึ้นที่สำนักงานของด็อกเตอร์ทามากิ ไซโต้ “ตอนนั้นมันยังไม่มีชื่อเรียกของอาการนี้”เขากล่าว

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ด็อกเตอร์ไซโต้
เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับฮิคิโคโมริที่เป็นที่ยอมรับในญี่ปุ่น
และเป็นผู้ที่เขียนหนังสือ “ทำอย่างไรที่จะช่วยเหลือลูกของคุณจากการเป็นฮิคิโคโมริ”

“ ในตอนแรกผมวินิจฉัยว่านี่เป็นหนึ่งในประเภทของความกดดันหรือ
ความกังวลเกี่ยวกับตัวเองหรือ โรคจิตเสื่อมประเภทหนึ่งที่ชอบเก็บตัว (schizophrenia)”
แต่จำนวนผู้ที่เข้ามารักษากับเขาในลักษณะอาการเดียวกันนี้มีเพิ่มมากขึ้น
เขาจึงตั้งชื่อให้กับอาการนี้ว่า ฮิคิโคโมริ

ไม่นาน สื่อ ก็ได้ติดตามลักษณะอาการนี้โดยใช้ชื่อต่างๆ เช่น “The lost generation” “the
missing million” “ the ultimate in social parasitism” และมีหนังสือ ออกมากว่า10เล่ม
ทั้งบทความในนิตยสาร และหนัง รวมไปถึงสารคดี

ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีข่าวปรากฏขึ้นบนหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับคดีที่ฮิคิโคโมริลักพาตัวเด็กหญิงวัย 9 ขวบ แต่ในความเป็นจริงแล้วฮิคิโคโมริส่วนมากไม่มีแรงแม้แต่จะออกมานอกบ้านและวางแผนกระทำความรุนแรง พวกต่างเป็นพวกที่ได้รับความเจ็บปวดจากความกดดันหรือมีพฤติกรรมที่ถูกครอบงำแรงจูงใจ
ในบางกรณีปัญหาเหล่านี้ก็เป็นตัวนำไปสู่ปัญหาการเป็นฮิคิโคโมริ ซึ่งกรณีที่พบบ่อยคือการขังตัวเองอยู่ในห้อง ในพื้นที่ที่จำกัด เป็นเวลาหลายเดือน

-ความหมายของอิคิโคโมริ ติดตามได้ในตอนต่อไปคะ-

**เว็บไซต์ที่เอาข้อความมาแปล จำไม่ได้แล้วคะเนื่องจากนานมาก แต่มีข้อมูลเว็บไชต์ต่างๆอยู่คะ หากใครสนใจสอบถามได้นะ แต่บอกก่อนว่าเป็นภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่**
***และนึกขึ้นได้อีกว่าส่วนหนึ่งของเนื้อหามันช่างคล้ายกับหนังสือภาษาไทยที่มีคนแปลและตีพิมพ์ เนื่อหาส่วนใหญ่จะคล้ายกับหนังสือนะคะ เพราะเว็บที่เอามาแปลกับหนังสือคิดว่าเว็บเดียวกัน หากไปละเมิดสิทธิ์ใดๆก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ*** เอามาให้อ่านหนุกๆคะเป็นความรู้กัน