วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม ปี ค.ศ. 2008 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขวางแผนที่จะจัดตั้งหน่วยปรึกษาปัญหาฮิคิโคโมริในทุกจังหวัด และในเมืองใหญ่ โดยพวกเขากล่าวว่า รัฐจะจัดสรรงบประมาณ 500ล้านเยนในงบประมาณแห่งชาติสำหรับการจัดการตั้งศูนย์ปรึกษา
                จำนวนผู้ที่มีปัญหาตอนนี้มีประมาณหนึ่งล้านกว่าคนตามที่มีการสำรวจจากศูนย์สนับสนุนช่วยเหลือ ในปัจจุบันครอบครัวของผู้มีปัญหาและตัวฮิคิโคโมริเองสามารถขอรับคำปรึกษาจากศูนย์สุขภาพสาธารณะสุขแต่ที่นั่นไม่ได้จัดตั้งเพื่อการปรึกษาปัญหาเฉพาะทาง   
                โดยที่ศูนย์จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาประจำการอยู่ที่นั่นโดยตลอด  โดยเทศบาลจะมอบหมายความรับผิดชอบในการบริการแก่เจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์  หรือหน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไร  โดยค่าใช้จ่ายจะได้รับจากรัฐบาลกลาง
                โมโตฮิโร ซาไก ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์จิตวิทยาของมหาวิทยาลัยโทคุชิม่า ตอบรับการแก้ไขปัญหาขั้นต้นของรัฐบาล ซาไกกล่าวว่า “ฮิคิโคโมริบางรายมีปัญหาจากการป่วยทางจิต และเมื่อค้นพบควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม”   ส่วนปัจจัยอื่นเชื่อได้ว่าเหล่าฮิคิโคโมริที่มีอายุอยู่ที่ประมาณ 30-40 ปีขึ้นไปนั้น ส่วนหนึ่งพวกเขายากที่จะหางานใหม่ทำได้อีกแล้ว มันสำคัญมากสำหรับรัฐบาลที่ควรให้การสนับสนุนเพื่อพวกเขาจะได้เรียกความมั่นใจในตัวเองกลับมาได้
                นอกจากนี้ยังมีการให้การสนับสนุนจากองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรอย่างเช่น NPO คอยให้ความช่วยเหลือเป็นกลุ่มแรกๆ อีกทั้งกลุ่มองค์กรต่างๆที่ก่อตั้งขึ้น โดยครอบครัวผู้ที่พบกับปัญหาฮิคิโคโมริ และยังมีองค์เอกชนที่คอยให้คำปรึกษาโดยจะคิดค่าธรรมเนียมอยู่ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างขององค์กรอย่างเช่น The Japanese Hikikomori Association (N.H.K.), New Star, กลุ่มช่วยเหลือตนเองของครอบครัวผู้ที่มีลูกเป็นฮิคิโคโมริ, Hikikomori Support Navi เป็นต้น
                โดยกลุ่มองค์กรเหล่านี้มีวิธีการช่วยเหลือที่คล้ายๆกันดังนี้  
                เนื่องจากฮิคิโคโมริคือผู้เก็บตัวเป็นเวลานานจึงมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความสามารถทางการเข้าสังคม  ดังนั้นวิธีการแรกที่จะใช้คือ การเริ่มเข้าไปพูดคุย เพื่อทำความคุ้นเคยกับผู้ที่เป็นที่ปรึกษาที่ทางพ่อแม่ หรือบางกรณีอาจจะเป็นตัวฮิคิโคโมริเองที่เป็นฝ่ายติดต่อไป  โดยทางศูนย์จะส่งผู้ที่เป็นที่ปรึกษาไปพบถึงบ้าน และเริ่มพูดคุยกับฮิคิโคโมริ แม้ว่าช่วงแรกๆอาจจะไม่ได้รับการตอบโต้บทสนทนาจากฮิคิโคโมริก็ตาม  แต่เมื่อฮิคิโคโมริมีความคุ้นเคยกับผู้ที่เป็นที่ปรึกษาและตกลงที่จะมาเข้าร่วมโครงการ ฮิคิโคโมริก็จะได้รับการพาตัวไปอยู่รวมกับผู้ที่เป็นฮิคิโคโมริเช่นกันที่ศูนย์
                ทักษะแรกๆ ที่ทางศูนย์ได้สอนแก่เด็กอย่างเช่น หัดปรงฟัน กินข้าว ล้างจาน จนกระทั่ง ออกกำลังกาย และไปซื้อของ  เป็นต้นและที่ศูนย์จะเริ่มฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กโดยการสอนวิธีการเข้าสังคมให้แก่เด็ก  เมื่อเด็กได้พูดคุยและทำความคุ้นเคยกันเด็กจะรู้สึกดีขึ้นมีการเปิดใจต่อกันมากขึ้น เพราะผู้ที่มาอยู่รวมกันนี้เป็นผู้ที่ต่างได้รับประสบการณ์เดียวกันมาทั้งนั้น การพูดคุยจึงและการสร้างสัมพันธภาพและมิตรภาพจึงเกิดขึ้น ทำให้เด็กมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น อีกทั้งยังมีความเชื่อใจในคนอื่นมากขึ้น
                ทางศูนย์จะสอนให้เด็กรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า  ให้รู้ว่าการใช้ชีวิตนั้นมีค่ามากแค่ไหน โดยสอนให้รู้จักตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิต  เพื่อเวลาที่สามารถทำเป้าหมายเล็กๆนี้สำเร็จแล้ว จะได้มีกำลังใจในการทำเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นต่อไปในอนาคต
